แนะนำเทรนด์การตกแต่ง

แต่งบ้าน

Modern

สไตล์โมเดิร์น จะมีลักษณะเป็นทรงเรขาคณิต มีการเพิ่มระแนงไม้จริงผสมเข้าไปที่ตัวบ้าน ดูหรู เรียบง่าย เน้นพื้นที่ใช้สอยให้ดูกว้างขวาง ตัวหลักภายในห้องจะใช้กระจกบานใหญ่ เพื่อให้ดูโปร่ง โล่ง สบายตา ไม่เน้นของตกแต่งประดับที่อาจทำให้ดูเยอะเกินไป จุดเด่นของโมเดิร์น จะเน้นที่โทนของห้องเป็นสีขาว ดำ และเทา อยู่ด้วยกันอย่างลงตัว รวมถึงมีการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีเอกลักษณ์แต่ยังคง Concept เรียบหรู เพื่อให้ดูโดดเด่น

Industrial / Loft

สไตล์อินดัสเทรียล หรือ ลอฟท์ ปกติแล้วจะต่างกัน แต่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ปัจจุบันจะเป็นแบบที่ผ่านการผสมผสานเข้าด้วยกันแล้วเป็นส่วนใหญ่ คือ เน้นวัสดุผนังที่เป็นอิฐแดง ท่อเหล็ก ที่เน้นโชว์เปลือย รวมถึงลักษณะโครงสร้างจะเป็นแบบเพดานสูง กำแพงเป็นปูนเปลือยมีความดิบ ใช้กระจกบานใหญ่เต็มพื้นที่ มีขอบโครงกระจกเป็นเหล็กดำ และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายในจะใช้งานเนื้อไม้จริงโทนเข้มผสมเหล็กดำ และไฟสีวอร์ม เข้ามาช่วยทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้น แต่ซ่อนไว้ด้วยความเรียบเท่ห์

Minimal Minimalist

เป็นแนวที่ คุมโทนสว่าง เช่น ขาว ดำ เทาอ่อน น้ำตาลอ่อน ผสมผสานกัน เพื่อทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น ภายในเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว วัสดุที่ทำจากไม้แท้ แต่น้อยชิ้น รูปทรงดูง่ายๆ สบายตา เลือกเฉพาะส่วนที่จำเป็นต้องใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น เตียง ตู้เสื้อผ้า ตู้ หรือชั้นวางทีวี โต๊ะทำงาน โต๊ะทานข้าว เนื้อไม้เลือกสีที่มาจากธรรมชาติ และเน้นใช้งานได้แบบเกิดประโยชน์สูงสุด แบบ 2 in 1 เช่น โซฟาไม้ ที่มีช่องสำหรับเก็บของได้ ภายในห้องจะไม่เน้นตกแต่งของที่หวือหวา หรือเน้นลวดลาย สีสันฉูดฉาด หากมีสีสันลวดลาย ก็ได้เป็นบางชิ้นที่ต้องการดึงให้บรรยากาศดูโดดเด่น ในบางมุม

Luxury

จะเป็นสไตล์ที่เน้นความหรูหราเป็นหลัก มีการเลือกสรรวัสดุตกแต่งคุณภาพสูง มีตัวเหล็กสีเงิน สีทองเหลือง และพิงค์โกลด์ เป็นส่วนประกอบ ตัวห้องแต่ละห้องไล่ระดับเฉดสีให้รับกัน และสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น Luxury คือ การใช้แชนเดอเลีย พรมขนสัตว์ การนำหินอ่อนเข้ามาตกแต่งเป็นหลัก และตัดด้วยสีทอง ตัวผนังจะมีการใช้กระจกบานใหญ่เพื่อทำให้ห้องดูแวววาว และดูกว้างขึ้น เมื่อแสงตกกระทบ ตัวเฟอร์นิเจอร์จะบุด้วยผ้า หรือกำมะหยี่ ทำให้เกิดการสัมผัสที่เบาสบาย เพื่อสะท้อนรสนิยมของกลุ่มลูกค้า High End

Nordic / Scandinavian

การตกแต่งสไตล์นอร์ดิก เป็นรูปแบบการตกแต่งบ้านของชาวยุโรปเหนือ เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์  ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติรอบตัว สภาพภูมิประเทศที่เป็นทิวเขาและมีสภาพอากาศที่หนาวเย็น สไตล์นี้จึงมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างจะเป็นหลังคาทรงจั่วสูง เน้นโทนสีที่สว่าง ครีม ขาว และเฉดอ่อนๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือวัสดุ ที่เป็นสีมาจากเนื้อธรรมชาติแบบดั้งเดิมไม่เติมแต่ง ผนังไม้สน ระแนง เพดาน พื้นปูนเปลือย โต๊ะอาหาร โซฟา ที่ทำมาจากไม้จริง รูปทรงมีความโค้งมนและมีความนุ่มนวล พื้นที่โซนต่างๆภายในบ้านเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างสะดวกสบาย

Contemporary

เป็นสไตล์แบบร่วมสมัย เป็นสไตล์แบบที่นิยมในปัจจุบันผสมผสานกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในอดีต ใช้โทนสีเอิร์ธโทน และวัสดุจากธรรมชาติ ซึ่งก็คืองานไม้นั่นเอง โดยผู้อยู่อาศัยจะเป็นคนกำหนดทิศทาง ว่าต้องการได้บรรยากาศออกมาเป็นอย่างไร อีกทั้งเน้นไปที่การใช้สอยได้จริง แล้วนำทั้ง 2 สไตล์ เข้ามาตกแต่งผสมผสานกัน เพื่อให้บรรยากาศเข้ากันได้อย่างลงตัว

ไม้แท้ในไทย

  • สัก ประเภทของสักมีอยู่หลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ในไทยจะเป็นสักทอง ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งปานกลาง มาจากการปลูกในพื้นที่เอกชน ซึ่งจะเป็นเกรด B ลายไม้ไม่ค่อยสวย ความแข็งของแกนไม้มีน้อย และมีตาไม้ค่อนข้างเยอะ อายุของต้นไม้จะอยู่ในช่วงไม่เกิน 30-40 ปี ทำให้ไม่มีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติที่กันปลวกได้ออกมา
    จึงยังต้องผ่านการอบน้ำยากันปลวกเหมือนกับไม้ชนิดอื่นๆ ที่นิยมนำมาแปรรูปเพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ ทำให้มีราคาไม่สูง มักนิยมใช้ตามท้องตลาดทั่วไป ในส่วนของสักคุณภาพสูงนั้น จะนำเข้ามาจากประเทศพม่า มีอายุประมาณ 100 ปี ซึ่งในไทยไม่มี จึงต้องนำเข้ามาเท่านั้น มีลวดลายสวยงาม นิยมในกลุ่มลูกค้าระดับ High End ที่ต้องการโชว์ลายไม้ เนื่องจากมีราคาที่สูงมาก
  • ไม้ยางพารา เป็นไม้ที่นิยมนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งยังเป็นไม้เศรษฐกิจที่นิยมส่งออกไปยังต่างประเทศ จัดเป็นไม้เนื้อแข็งปานกลาง เช่นเดียวกับไม้สักปลูก โดยจะนำมาแปรรูปเป็นไม้ประสาน เรียกว่า finger jointโดยการนำเนื้อไม้จริงชิ้นเล็กมาอัดประสานต่อเข้าด้วยกัน จนเป็นหน้าไม้แผ่นใหญ่ มีความเหนียวและแข็งแรงมาก โดยจะผ่านการอัดน้ำยาเพื่อป้องกันแมลง ทำให้เนื้อไม้แข็งแรงขึ้น ส่วนการอบรีดความชื้น เป็นการทำให้เนื้อไม้ไม่บวม และมีความคงทนต่อสภาพอากาศ และอีกจุดเด่นที่สำคัญของไม้ยางพาราเนื่องจากเนื้อไม้มีสีอ่อน ผิวมีความละเอียด ทำให้เนื้อสีซึมเข้ายึดเกาะผิวไม้ได้ดี ทำสีออกมาได้สวย โดดเด่น ชัดเจน เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการมีตัวเลือกในเฉดสีต่างๆ เพื่อต้องการความลงตัวในพื้นที่ให้เข้ากับสไตล์การตกแต่งที่เลือกไว้

ไม้แท้นำเข้า

  • โอ๊คขาว ( White Oak ) เป็นไม้เนื้อแข็ง มีสีขาวเนียน อมเหลืองอ่อน เนื้อไม้ค่อนข้างเรียบเนียน ทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงสัมผัสที่เบาสบาย สามารถนำไปผลิตเฟอร์นิเจอร์ ไม้ปูพื้น ตกแต่งผนัง ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากทางอเมริกา เนื่องจากมีการปลูกทดแทนตลอด ทำให้มีทรัพยากรเยอะ ได้รับความนิยม เนื่องจากราคามีความเหมาะกับคุณภาพที่ปานกลาง แต่หากโอ๊คที่มีคุณภาพสูงจะมาจากจีนและญี่ปุ่น จึงมีราคาสูงมากและจะเติบโตช้า จึงทำให้มีเนื้อละเอียดกว่าจากทางอเมริกา ต้องมีการอัดน้ำยากันแมลง ก่อนนำไปทำเฟอร์นิเจอร์
  • แอช ( Ash ) มีเนื้อสีเหลืองอ่อนเกือบขาว หากเป็นในต่างประเทศจะเน้นนำไปใช้ทำฝืน ส่วนในไทยนิยมไปทำไม้ปูพื้น ลายเนื้อไม้จะดูค่อนข้างเยอะกว่า เมื่อเทียบกับโอ๊คขาว มีร่องเสี้ยนและตาไม้เยอะ จึงต้องการการโป๊วอุดมากกว่าชนิดอื่นๆ เป็นไม้ที่ไม่เหมาะกับการโดนน้ำ จะเกิดการหดตัวได้ง่าย จึงเน้นนำไปใช้งานตกแต่งภายใน เนื้อค่อนข้างหยาบ จึงไม่ค่อยนิยมนำมาขึ้นรูปเฟอร์นิเจอร์ มีความหนาแน่นแข็งแรงน้อยกว่าไม้โอ๊ค และไม้ยางพารา เนื่องจากคุณภาพที่ดีควรเป็นตัวที่นำเข้ามาจากแถบยุโรป หากมาจากจีนคุณภาพจะต่ำกว่ามาก ก่อนนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ ต้องมีการอัดน้ำยากันแมลงก่อน เหมือนกับ โอ๊ค และ ยางพารา

เก้าอี้โมเดิร์น

การดีไซน์ ต้องดีไซน์ได้ตามหลักที่ถูกต้องของงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ หรือหลักสรีรศาสตร์(เก้าอี้) เพื่อความสมดุลและแข็งแรง สำหรับรองรับน้ำหนักได้ดี  และที่สำคัญดีไซน์ต้องตอบโจทย์ผู้ใช้และสอดคล้องกับสไตล์การตกแต่งที่เลือกไว้

  • วัสดุมีความแข็งแรง ตั้งแต่ตัวโครงสร้างทั้งเหล็กและไม้ เหล็กต้องมีแม่แบบขึ้นรูปที่ได้มาตรฐาน และเคลือบสีคุณภาพสูง หรืออบด้วยสี Powder Coat จะมีความแข็งแรง ยากต่อการถลอกและป้องกันสนิม  เนื้อไม้ผ่านการอบรีดความชื้นและอัดน้ำยากันปลวก ใช้สีเคลือบที่ได้มาตรฐานสูง ( เช่นสี PU ที่มีมาตรฐานสูงมักใช้สำหรับงานส่งออก และเคลือบอย่างน้อย 4-5 ชั้น ไม่ควรเลือกแค่แลกเกอร์ทั่วไป ) เพื่อให้เป็นเนื้อเกราะป้องกันที่หนาพอ สำหรับปกป้องเนื้อไม้จากรอยขีดข่วน การซึมของน้ำจากการใช้งาน
  • มีบริการหลังการขาย รับประกันโครงสร้างอย่างน้อย 1 ปี และหากชำรุดสามารถรับซ่อม ทำสีใหม่ หรือเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนวัสดุได้ (อย่างเช่น เบาะ)

W1 สีธรรมชาติ

ให้ความอบอุ่น สบายตา นิยมใช้ในการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล และสแกนดิเนเวียน

W2 สีสักทอง

ให้ความหรูหรา เพิ่มคุณค่า ทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูมีระดับ

W3 สีสักเข้ม

เหมาะสำหรับสไตล์ลอฟท์ มักเน้นใช้ตัดกับผนังสีอ่อน หรือผนังปูนเปลือย เพื่อเพิ่มความโดดเด่น มีพลัง

W4 สีดำ

มักใช้ในการตกแต่งแบบโมเดิร์น ให้ความรู้สึกเท่ห์ มีความเป็นตัวตน น่าค้นหา

W5 สีโอ๊คอ่อน

ให้ทั้งความรู้สึกอบอุ่น และหรูหรา มีความพอดี คุมโทน ลงตัวในทุกสไตล์

W6 สีโอ๊คเข้ม

ให้ความรู้สึกมั่นคง สุขุม หนักแน่น เป็นโทนสีที่ตัดกับโทนบ้านสีอ่อนได้อย่างลงตัว

W7 สีวอลนัทเข้ม

ให้ความรู้สึกมีคุณค่า คลาสสิค วินเทจ ในความเป็นอัตลักษณ์ของงานคราฟท์

W8 สีไม้บีช

ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ อบอุ่น นุ่มนวล สบาย เหมาะกับการตกแต่งแบบคุมสีโทนอ่อน

งานไม้แท้หากเลือกสีโทนอ่อน อาจมองเห็นตาไม้ หรือเสี้ยนไม้บ้างในบางจุด ซึ่งเป็นธรรมชาติของเนื้อไม้แท้ ซึ่งจะไม่เหมือนงานไม้ปลอม

เฉพาะไม้สีดำและสีโอ็คเข้มเป็นสีที่มีกระบวนการทำที่ยากกว่า เป็นสีที่ค่อนข้างเห็นรอยง่ายกว่าสีอื่นๆ (คล้ายสีรถยนต์) และอาจมีการพองตัวของเสี้ยนไม้ในบางจุด จึงทำให้เกิดเม็ดสีจุดเล็กๆในบางตำแหน่งบ้าง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การดูแลเฟอร์นิเจอร์

  • ควรมีการฉีดน้ำยากันปลวกบริเวณตัวบ้าน อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง และควรป้องกันไม่ให้แมลงเม่าเข้ามาในตัวบ้าน เพราะแมลงเม่าพัฒนามาจากปลวกที่อยู่ในวัยพร้อมสืบพันธุ์ พอสลัดปีกออกก็จะหาสร้างรังออกลูกเป็นรังปลวกในบ้านต่อไป ตอบคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่า ปลวกมาได้อย่างไรนั่นเอง
  • งานไม้จะไวต่ออุณหภูมิ ในฤดูต่างๆ ควรมีช่องให้อากาศได้ถ่ายเท เพื่อไม่ให้ตัวห้องนั้นมีความชื้น หรืออับร้อนมากเกินไป จะช่วยให้ตัวไม้เกิดการหดยืดตัวทางกายภาพให้น้อยที่สุดเพื่อช่วยถนอมยืดอายุการใช้งานในระยะยาว
  • สามารถติดฟิล์มหน้าท็อปโต๊ะ หรือใช้แผ่นรองจาน เพื่อถนอมกันรอยในระยะยาว หากจำเป็นต้องมีการใช้งานสัมผัสโดนผิวไม้บ่อยครั้ง เช่น ร้านอาหาร และร้านคาเฟ่ต่างๆ แนะนำให้เลือกใช้กับผู้ที่ให้บริการติดฟิล์มแบบมืออาชีพ ไม่ควรหามาติดเอง ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งกระจกวางทับท็อปไม้ เนื่องจากหากมีความชื้นอับเกินไป ประกอบกับห้องที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดี จะทำให้เกิดไอน้ำขังจากการคายความชื้นตามธรรมชาติของไม้ จึงอาจทำให้เนื้อไม้แตกตัวได้
  • ควรมีผ้า หรือ ภาชนะใส่ของร้อน หรือเย็นจัด ก่อนวางลงบนหน้าท็อปโต๊ะโดยตรง เพื่อถนอมเนื้อไม้ในระยะยาว
  • เมื่อเลอะสิ่งสกปรกใช้ผ้าชุบน้ำเปล่า หรือผสมน้ำสบู่แบบเจือจาง เช็ดทำความสะอาด
  • ควรระมัดระวัง การทำสารเคมีทุกชนิด เลอะบนท็อปโต๊ะ เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาโดยตรงกับตัวสีเคลือบของเนื้อไม้ได้

การจัดวาง-1

มาตรฐานของ เฟอร์นิเจอร์ สำหรับใช้งานภายใน ประเภทที่ควรให้ความสำคัญ

  • จุดเน้นระยะที่สำคัญของการใช้งาน
    จากรูป : พื้นที่ต่อ 1 ที่นั่ง สำหรับวางเก้าอี้ควรมี 60x60cm ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดเก้าอี้เป็นหลัก และควรมีพื้นที่รอบตัวอย่างน้อย 60 cm เพื่อไม่ให้ดูอีดอัดจนเกินไป
    จากระดับตัวเบาะนั่งของเก้าอี้ จนถึงพื้นที่ใช้งานของท็อปโต๊ะ ควรมีระยะสัดส่วนระหว่างกัน อย่างน้อย 25 cm แต่ไม่ควรเกิน 30 cm เพื่อที่ผู้ใช้งานจะได้ไม่ต้องโน้มตัวลง หรือยืดตัวขึ้นมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดเมื่อยสะสม เนื่องจากการเกร็งของกล้ามเนื้อบ่าและไหล่
  • ชุดโต๊ะและเก้าอี้
    โต๊ะ : ควรสูงจากพื้น ถึงส่วนพื้นที่บนท็อปโต๊ะวางใช้งาน 75 cm
    เก้าอี้ : ควรสูงจากพื้น ถึงส่วนเบาะนั่งใช้งาน 45 cm
  • เคาท์เตอร์ครัว
    เคาท์เตอร์ประกอบอาหาร : ควรสูง 80-90 cm และความลึกประมาณ 60 cm
    หากเป็นครัวไทย ความสูงควรลดระดับลงมาอีกประมาณ 15 cm เพื่อใช้สำหรับวางเตา
    เคาท์เตอร์รับประทานอาหาร : หรือโต๊ะบาร์โดยมาตรฐานควรสูง 85 -110 cm แนะนำให้เลือกอยู่ในระยะดังกล่าว เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละท่าน
  • ห้องรับแขก / นั่งเล่น
    โซฟา :  สำหรับ จำนวน 2 ที่นั่ง ความยาว ควรอยู่ในระยะ 120-150 cm
    สำหรับ จำนวน 3 ที่นั่ง ความยาว ควรอยู่ในระยะ 150- 200 cm
    ความลึก รวมที่พิงหลัง ควรอยู่ในระยะ 80-90 cm
    ความสูง จากพื้นถึงตัวเบาะนั่ง ควรอยู่ที่ 38-42 cm

งาน Mass Production และ Hand craft แตกต่างกันอย่างไร

Mass Production โดยมากจะเป็นสินค้าที่มีลักษณะ รูปแบบมาตรฐานง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศจีน ใช้เครื่องจักรเน้นผลิตปริมาณมาก ใช้วัสดุคุณภาพถูก เพื่อลดต้นทุนทำให้สินค้ามีราคาถูกตามวัสดุ
Hand craft จะเป็นการสร้างชิ้นงานเชิงศิลปะ ที่ใช้ช่างที่มีประสบการณ์สูง ชำนาญงานเฉพาะด้าน เน้นความประณีต พิถีพิถัน ซึ่งชิ้นงานของ บริษัท Better Craft จัดเป็นสินค้างานดีไซน์ Hand craft ที่เน้นไปที่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เหมาะกับความชอบและสไตล์ของแต่ละบุคคล

สี PU และ ตัวเคลือบแลคเกอร์ แตกต่างกันยังไง

แลคเกอร์ (Lacquer) ตามท้องตลาด จะเด่นในเรื่องทำให้งานไม้แห้งไว และราคาไม่สูง ทำให้ช่างรับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั่วๆ ไปนิยมใช้ และปกติต้องผสมกับทินเนอร์ เนื่องจากต้องการให้ตัวงานแห้งช้าขึ้น เพื่อช่างจะมีเวลาเก็บรายละเอียดงาน ในระหว่างที่ใช้พู่กันทาลงบนเนื้อไม้  ซึ่งจะเหมาะกับงานที่ไม่เน้นสัมผัส
โพลียูรีเทน (Polyurethane) เป็นน้ำมันเคลือบแข็ง ที่มีทั้งคุณภาพและราคาที่สูงกว่า แลคเกอร์ (Lacquer) ทนทานต่อรอยขีดข่วน เสียดสี และการเช็ดถูได้ดี มีเนื้อสสารละเอียดระดับนาโนที่เคลือบตัวผิวไม้เอาไว้ ทำให้น้ำไม่สามารถซึมลงสู่เนื้อไม้ได้ อีกทั้งยังทนต่อสภาพอากาศ เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูง  ทางช่างต้องใช้การพ่นสีแบบละเอียด ลงบนเนื้อไม้ ด้วยความเชี่ยวชาญ เนื่องจากถ้าไม่มีความชำนาญพอ ตัวสีที่ลงไปเกาะเนื้อไม้จะไม่เรียบ บริษัท Better Crat จึงเลือกใช้โพลียูรีเทน เพื่อให้เหมาะกับตัวงาน ที่ใช้สำหรับภายใน เนื่องจากไม้แท้จะมีความไวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ตามฤดูต่างๆ ดังนั้น โพลียูริเทน จึงเป็นตัวที่สำคัญในการยืดอายุการใช้งาน และยังเป็นมาตรฐานคุณภาพสินค้ายุโรป เช่นเดียวกันกับที่ใช้ในของเล่นเด็ก เรียกว่า  EN71  ซึ่งจะมีความปลอดภัยสูงเมื่อเด็กสัมผัส หรือเข้าปาก

Better Craft แตกต่างกับแบรนด์อื่นๆ อย่างไร

บริษัทเราใส่ใจรายละเอียดในทุกๆด้าน เริ่มตั้งแต่การดีไซน์ ซึ่งในหลายรุ่นนั้น ใช้ระยะเวลาในการหาแรงบันดาลใจและดีไซน์ตั้งแต่เดือนจนถึงปี
งานดีไซน์จากนักออกแบบของเรายังได้รับความคุ้มครองภายใต้ พรบ.สิทธิบัตร และกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา อีกด้วย
เรามีประสบการณ์ในการคัดเกรดวัสดุเพื่อสร้างชิ้นงาน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพเป็นอันดับแรกสุด ( ไม่หาราคาถูกก่อน เพื่อลดต้นทุน ) ตั้งแต่วัสดุชิ้นเล็ก เช่น น็อต สกรู จนไปถึงวัสดุหลักอย่างเนื้อไม้ ซึ่งเรามีเคล็ดลับและเทคนิคเฉพาะในการคัดเลือกและนำไปแปรรูปต่อ
ด้วยดีไซน์ที่แตกต่าง มีความเป็นเอกลักษณ์สูง ทำให้ทุกขั้นตอน เราใช้ระยะเวลาในการขึ้นชิ้นงาน ที่นานกว่าดีไซน์ตามท้องตลาดทั่วไป ทางบริษัทจึงต้องมีการคัดเลือกช่างที่มีฝีมือมากประสบการณ์ ชำนาญงานเป็นพิเศษ มีความเข้มงวด และที่สำคัญ มีความประณีตสูงเท่านั้น เพื่อชิ้นงานที่สมบูรณ์ที่สุด